ความเจริญและความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย
มูลเหตุสำคัญในอันที่จะส่งเสริมให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เจริญรุ่งเรือง บรรลุความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนทั่วไปได้นั้น อยู่ที่เนื้อหาสาระอันเป็นคุณสมบัติประจำของศาสนานั้น ๆ หากนี้เป็นหลักเกณฑ์แห่งความสำเร็จของศาสนาแล้วไซร้ ก็ต้องยอมรับว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เพรียบพร้อมด้วยเนื้อหาสาระ หรือคุณสมบัติดังกล่าว อย่างสมบูรณ์ที่สุด อีกประการหนึ่ง ยุคสมัยและสถานการณ์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ขบวนการเคลื่อนไหวแห่งศาสนาใหม่ เช่น พุทธศาสนาเจริญได้งอกงามได้รวดเร็วหรือหาไม่ ในศตวรรษที่ ๖ และที่ ๕ ก่อนคริสต์ศักราชนั้น ในทวีปเอเชียและยุโรป มีการตื่นตัวทางความคิดด้านศาสนาและปรัชญา อันเป็นการตื่นตัวจากความเชื่อถือทางพหุเทวนิยมไปสู่เอกเทวนิยม หรืออีกนัยหนึ่งจากความเชื่อถือดิบ ๆ แบบดั้งเดิมไปสู่ความเชื่อถือที่ลุ่มลึกละเมียดละไม ดังตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนมีเล่าจื้อ (เกิดปี ๕๗๐ ก่อน ค.ศ.) และขงจื้อ (ถึงแก่กรรมปี ๔๗๐ ก่อน ค.ศ.) ในประเทศเปอร์เชีย (อิหร่านในปัจจุบัน) มีศาสดาโซโรอาสเตอร์ (ศตวรรษที่ ๖ ก่อน ค.ศ.) ในประเทศกรีซมีโสเครติด (ถึงแก่กรรมด้วยยาเมื่อปี ๓๙๙ ก่อน ค.ศ.) และเปลโต (๔๒๗-๓๔๗ ก่อน ค.ศ.) และในประเทศอินเดียก็มีศาสดามหาวีระและพระพุทธเจ้า (๕๖๓-๔๘๓ ก่อน ค.ศ.) ในประเทศอินเดีย นอกจากเจ้าสำนักหลายท่าน ดังมีข้อความระบุถึงในมหากาพย์ภารตะและมหากาพย์รามายณะ ตลอดจนในคัมภีร์อุปนิษัทแล้ว ก็ยังมีเจ้าสำนักอื่นอีกบางท่านซึ่งพระพุทธเจ้าทรงวิพากษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกว่า ดำเนินการสอนที่ไม่นำไปสู่วิมุตติ อันได้แก่ การหลุดพ้น (จากการเวียนเกิดเวียนตาย) โดยย่อแล้วอาจกล่าวได้ว่า อินเดียในยุคนั้นเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนขัดแย้ง คล้ายกับว่าปัญญาชนคนมีความรู้ทั้งประเทศ หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาสัจธรรม โดยหลงลืมการหาประโยชน์ส่วนตัวเสียสิ้น จำนวนฤๅษีมุนีและปริพาชก (นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา) นั้น มีมากมาย อันเป็นสัญญาณแสดงว่าการแสวงหาสัจจะมีความสำคัญที่สุดในยุคนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ดินแดนภารตะทั้งประเทศในสมัยนั้น เร่าร้อนไปด้วยความเคลื่อนไหวทางพุทธิปัญญา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่งที่นักคิดผู้ปรีชาสามารถเช่นพระโคดมพุทธเจ้า ผู้ได้ศึกษานานาลัทธิคำสอ นซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้นอย่างเชี่ยวชาญทะลุปรุโปร่ง จะได้ออกมาประกาศประสบการณ์คำสอน ซึ่งพระองค์ได้ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า ถูกต้องถ่องแท้และสมเหตุสมผลเป็นที่สุด พระองค์ได้ทรงวิพากษ์และโจมตีวัตรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ คือ ๑. คำอวดอ้างอันไม่สมควรและไร้เหตุผลของพราหมณ์ ๒. ประสิทธิภาพการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ เพื่อสร้างความพอใจให้แก่ทวยเทพ และบันดาลความผาสุกแก่มวลมนุษย์ ๓. อภิสิทธิ์และความเคร่งครัดในชีวิตประจำวัน โดยปราศจากเหตุผลของศาสนาพราหมณ์ คำสอนเชิงวิพากษ์และการโจมตีของพระพุทธเจ้า คงจะเป็นที่พอใจของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับระบบสังคมในยุคนั้น ในสายตาของประชาชนเหล่านี้ พระพุทธองค์คือวีรบุรุษของนักคิดใหม่ ผู้เปิดเผยความไม่ถูกต้องของระบบศาสนา ที่เป็นพันธนาการรัดตรึงพวกเขามาเป็นเวลานับได้ร้อย ๆ ปี คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "จงเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง" (อตฺตทีโป อตฺตสรโณ อนญฺสรโณ) เป็นการเปิดตาให้แสงสว่างแก่คนเป็นจำนวนมาก พระองค์ได้ทรงสอนว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผลแห่งกระทำ (กรรม) ของตนเอง การกราบไหว้วิงวอนพระเจ้าหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น พระองค์ทรงสอนว่าพราหมณ์หรือพระภิกษุเป็นแต่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น หาใช่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับความหลุดพ้นไม่ วิมุตติภาพหรือการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ (การเวียนเกิดเวียนตาย) ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและความรู้แจ้งของแต่ละบุคคล มิใช่ขึ้นกับผู้ยิ่งใหญ่ใด ๆ มิใช่ขึ้นกับครู อาจารย์ เทพเจ้าหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนว่า "จงพากเพียรเพื่อความหลุดพ้นของตนเองด้วยความไม่ประมาทเถิด" คำสอนที่เป็นหลัก เริ่มแรกพระพุทธเจ้าทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ซึ่งถูกครอบงำด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ มิให้ลุ่มหลงเสียเวลาด้วยการถกเถียงถึงปัญหาที่ไร้ประโยชน์ เช่น คนเรามาจากไหน ตายแล้วจะไปยังที่ใด ฯลฯ ทว่า พระองค์ทรงสอนให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าแห่งความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา และใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ให้ตระหนักถึงคุณค่าแห่งศีล สมาธิ และปัญญา พระองค์ทรงย้ำถึงประโยชน์แห่งการศึกษาและภาวนา อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งแห่งสภาวะอันแท้จริงของธรรมชาติ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา คำสอนของพระพุทธองค์ที่มีชื่อในภาษาบาลีว่า "ปฏิจฺจสมุปฺบาท" (กฎแห่งธรรมที่ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น) เป็นที่ประทับใจแก่ปัญญาชน เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และปัญญาชนทุกเพศทุกวัยจำนวนมาก ปฏิจจสมุปบาทสอนให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายในโลกอาศัยกันและกันจึงเกิดมีขึ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง และไม่มีสิ่งใดที่มีคุณสมบัติถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวของมัน (อนัตตา) ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพไหลเลื่อนแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะและตลอดเวลา นิพพานเท่านั้นที่ไม่มีการแปรเปลี่ยน ไม่ขึ้นอยู่กับกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท (อปฏิจฺจสมุปฺปนฺน) ไม่มีการปรุงแต่ง (อสังขตะ) ไม่มีการเกิด (อชาติ) ไม่มีการเสื่อมสลายหรือตาย (อมต) มนุษย์จะรู้แจ้งในสัจจะนี้ได้ด้วยตนเองและเฉพาะตัว ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถช่วยให้เขารู้แจ้งได้ อีกทั้งมนุษย์จะบรรลุสัจจะนี้ได้ก็ด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนแห่งอริยสัจ ๔ และมรรค ๘ กล่าวโดยย่อก็คือ มนุษย์ต้องมีความสมบูรณ์ในเรื่องศีล สมาธิ และปัญญา จึงจะมีดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) พระพุทธองค์มิได้ทรงแตะต้องความเชื่อถือของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล เป็นต้นว่า ความเชื่อถือในเรื่องพระพรหมผู้สร้างโลก ฯลฯ แต่พระองค์ทรงย้ำว่า ความรู้หรือความเชื่อถือประเภทนี้ ไม่อำนวยประโยชน์อันใดในการที่จะช่วยให้คนพ้นทุกข์อันเนื่องมาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย (สังสารวัฏ) พระองค์ทรงสอนว่าสัจจะหรือความจริงเป็นสิ่งที่ภาษามนุษย์ไม่สามารถจะให้อรรถาธิบายได้ เพราะฉะนั้น สถานบท (Premise) ใด ๆ ในตรรกศาสตร์ (Logic) จึงไม่สามารถจะนำมาใช้กับสัจจะได้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นที่จับจิตจับใจปัญญาชนชาวชมพูทวีปในสมัยนั้นมาก บุคลิกภาพของพระพุทธองค์และเหล่าสาวก มูลเหตุประการที่สอง ซึ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนาเจริญและแผ่ไพศาลไปอย่างรวดเร็ว ได้แก่ บุคลิกภาพของพระองค์และเหล่าสาวก ความทันสมัยและสมเหตุสมผลของพุทธศาสนา เป็นที่ดึงดูดความสนใจของปัญญาชนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนที่มีชื่อเสียงในวรรณะพราหมณ์และวรรณะกษัตริย์ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะ และอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก บรรดาสาวกผู้เต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ อีกทั้งมีบุคลิกภาพและจริยวัตรดีเด่นดังกล่าวมานี้ เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึก และเผยแผ่ไปอย่างกว้างไกลในดินแดนชมพูทวีป สาวกของพระพุทธองค์ที่ได้กล่าวนามมาข้างต้น ต่างก็เชี่ยวชาญในวิชาการต่าง ๆ ทางพุทธศาสตร์ เช่น พระสารีบุตร ได้รับการยกย่องเป็นธรรมเสนาบดี มีปัญญามาก เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา พระโมคคัลลานะ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์มาก พระมหากัสสปะ เป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ (องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส) หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้เป็นผู้ริเริ่มและเป็นประธานในปฐมสังคายนา (การประชุมตรวจชำระสอบทาน และจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) พระมหากัจจายนะ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางขยายความคำย่อให้พิสดาร ว่ากันว่าพระมหากัจจายนะมีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณดังทองคำ พระสาวกของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวนามมานี้ ต่างได้อุทิศสติปัญญาความสามารถในการเผยแผ่พุทธธรรม และได้ดึงดูดสาธุชนจำนวนมากในวรรณะสูง ตลอดจนผู้มีฐานะร่ำรวยได้ชื่อว่า "เสฏฐี" และแม้แต่ปริพาชก (นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา) ให้หันมานับถือพุทธศาสนา บุคลิกภาพและศักดิ์ศรีของพระพุทธองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักบวช (สมณะ) และปรัชญาเมธีผู้เปรื่องปราด ได้ดึงดูดความสนใจของท้าวพญามหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์และมีอำนาจในชมพูทวีปในสมัยนั้น บรรดาชนชั้นนำเหล่านั้น เช่น พระเจ้าพิมพิสารและหมอชีวกโกมารภัจจ์แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าปเสนทิ อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาเศรษฐีนีแห่งนครสาวัตถี แคว้นโกศล อีกทั้งอัมพปลี หญิงงามเมืองแห่งนครเวสาลี ต่างได้สร้างวัดวาอารามถวายพระพุทธเจ้า ตลอดจนเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์อย่างมากมาย ซึ่งในปัจจุบันซากเศษสิ่งปรักหักพังของอาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ยังมีปรากฏให้เราอนุชนรุ่นหลังได้เห็นเป็นสักขีพยาน ราชูปถัมภ์กับพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ชี้ให้เราเห็นว่า ความเจริญและความเสื่อมของพุทธศาสนานั้น ขึ้นอยู่กับความอุปถัมภ์ หรือการขาดความอุปถัมภ์จากราชามหากษัตริย์ เป็นสำคัญ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง แต่ในสมัยทายาทของพระเจ้าอโศกในยุคต่อมา พุทธศาสนาถึงแก่ความอับเฉา ครั้นต่อมาในยุคของกษัตริย์เชื้อสายอินเดียผสมแบคเทรีย (Indo-Bactria) ได้แก่ Menander (พระเจ้ามิลินท์ ในคัมภีร์พุทธศาสนา) และในยุคของกษัตริย์อินเดียผสม Scythia ได้แก่ พระเจ้ากนิษกะ พุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้นอีก ต่อจากนี้ พุทธศาสนาตกอยู่ในสภาพอับเฉาจนกระทั่งถึงสมัยกษัตริย์ศักราทิตย์ พุทธคุปตะ และหรรษวรรธนะ พุทธศาสนาจึงกลับมีพลังวังชาขึ้นใหม่ ในสมัยราชวงศ์ปาละ (คริสต์ศตวรรษที่ ๘-๑๒) พุทธศาสนาในรูปแบบและวัตรปฏิบัติของลัทธิ "ตันตระ" และ "วัชรยาน" มีอิทธิพลไพศาลในชมพูทวีป โดยเฉพาะในแคว้นเบงกอล แต่เป็นพลังที่วิปริตผิดแปลกไปจากคำสอนเดิมของพระพุทธองค์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และในที่สุดความวิปริตนี้ได้กลายเป็นมูลเหตุสำคัญ ที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมสลายไปจากดินแดนที่เกิดของตน ดังเราจะได้ศึกษากันต่อไป จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในชมพูทวีปนั้น เกิดจากการอุปถัมภ์ของราชามหากษัตริย์และชนชั้นสูงเป็นปัจจัยประการสำคัญ แม้ในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาแผ่ไปถึง เช่น พม่า ศรีลังกา จีน ทิเบต และไทย ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน การอุบัติของมหายาน การอุบัติของพุทธศาสนานิกาย "มหายาน" ถือกันว่าเป็นวิวัฒนาการที่กว้างไกล และมีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา ความคิดความเชื่อหลักของมหายานที่ว่า "พระโพธิสัตว์คือสัญลักษณ์ของความเมตตากรุณา อันสัตว์โลกทั้งผองพึงบำเพ็ญและปฏิบัติต่อกัน" นั้น เป็นความคิดความเชื่อที่จูงใจ และครองใจคน ไม่เฉพาะในอินเดียเท่านั้น ทว่าในทวีปเอเชียทั้งหมดเลยก็ว่าได้ พุทธศาสนาแบบ "เถรวาท" หรือ "หินยาน" ได้เจริญแพร่หลายไปยังเอเชียตะวันตก (ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอโศก) แต่ต่อมาพุทธศาสนาแบบมหายาน ได้เข้าไปครองแทนที่ และได้แผ่ขยายไปถึงทิเบต จีน มองโกเลีย เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ฯลฯ คำสอนและอุดมการณ์ของมหายานตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเชื่อในองค์พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) อีกทั้งเทพและเทพีหลายองค์ เช่น อมิตาภะ อวโลกิเตศวร หรือปัทมปาณิ มัญชุศรี สมันตภัทรหรือจักรปาณิ อักโษภัย ไวโรจน รัตนสมภพ อโมฆสิทธิ มหาสถามไมเตรยะหรืออริยเมตไตรย์ ไภษัชราช อากาศครภ วัชรปาณิ ตารามารีจี ฯลฯ อันที่จริงแล้วพระนามของพระโพธิสัตว์เหล่านี้เป็นนามธรรมของคุณสมบัติ เช่น อวโลกิเตศวร เป็นนามธรรมของความเมตตากรุณา มัญชุศรี เป็นนามธรรมของสติปัญญา ฯลฯ แต่ก็เช่นเดียวกับคำสอนในศาสนาทั้งหลาย เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป ผู้คนพากันหลงลืมนามธรรม แต่กลับไปยึดมั่นในรูปธรรม กล่าวคือไม่นำพาต่อคุณสมบัติ เช่น ความเมตตากรุณา ทว่าไปยึดมั่นในรูปสมบัติ เช่น อวโลกิเตศวร คือความเมตตากรุณา แต่ได้รับการสมมติให้มีตัวตนเป็นพระโพธิสัตว์ มีฐานะเท่ากับเทพเจ้าองค์หนึ่ง และเมื่อเป็นเทพเจ้าก็ต้องได้รับการบูชากราบไหว้ เซ่นสรวงเอาใจเหมือนเทพเจ้าทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงมีการรจนาบทกราบไหว้สดุดีที่มีชื่อในภาษาสันสกฤต (พุทธศาสนานิกายมหายาน ใช้ภาษาสันสกฤตแทนภาษาบาลี ซึ่งใช้ในนิกายเถรวาทหรือหินยาน) ว่า สฺโตตฺร บ้าง ธารณี บ้าง สฺตวและมนฺตร (มนตร์) บ้าง พร้อมกันนั้นก็มีการกำหนดพิธีกรรมต่าง ๆ ตามฐานานุรูปของเทพเจ้า และนี่คือที่มาของ "คาถา" หรือ "มนตร์" (คำเป่าเสกที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์) เช่น "โอม มณี ปทฺเม หุมฺ" (โอมดวงแก้วเกิดในดอกบัว) ของชาวพุทธทิเบต หรือ "นโม โฮ เรง เก โกยฺ" ของชาวพุทธญี่ปุ่น (นิกายนิจิเรน) ฯลฯ มหายานเชื่อว่า ด้วยการท่องบ่น "คาถา" หรือ "มนตร์" อันศักดิ์สิทธิ์สั้น ๆ เช่นนี้ มนุษย์จะบรรลุความหลุดพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย (นิพพาน) ได้ เมื่อเทพเจ้าทั้งชายหญิงเกิดขึ้นมากมายพร้อมกับพิธีกรรมเซ่นสรวงอันละเมียดละไมเช่นนี้ บรรดาสมณะหรือภิกษุสงฆ์ก็พากันหันมาสนใจในการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้มากยิ่งขึ้น จนการศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนการบำเพ็ญศีลภาวนาหย่อนยานลงไปเป็นเงาตามตัว เราต้องไม่ลืมว่า การประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงนานาชนิดนั้น นำมาซึ่งลาภสักการะอย่างมากและง่ายดาย ด้วยประการฉะนี้ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๔ ถึงที่ ๗ พุทธศาสนาในอินเดียจึงกลายเป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม แทนที่จะเป็นศานาแห่งการค้นคว้าทางปัญญาและเหตุผล อันเป็นวัตถุประสงค์ และเป้าหมายเดิม ของพระโคดมพระพุทธเจ้า หลวงจีนฮวนฉ่าง (หรือยวนจ่าง) นักจาริกแสวงบุญจากประเทศจีน ผู้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย ใน ค.ศ. ๖๒๙ ในรัชสมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะ ซึ่งครองราชย์อยู่ ณ นครอุชไชน (Ujjain) ได้บันทึกไว้ในรายงานการเดินทางของท่านเกี่ยวกับพิธีกรรมทางมหายานอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนานิกายเถรวาทก่อนหน้านั้น และนี้เองเป็นเหตุให้พุทธศาสนานิกายมหายานรุ่งเรือง และแผ่ไพศาลอย่างกว้างไกล ในอินเดีย ในยุคหลังจากพระเจ้าอโศกมหาราช สาเหตุแห่งการเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย ประวัติศาสตร์ให้บทเรียนว่า สถาบันหรือขนบธรรมเนียมใด ๆ ก็ตามซึ่งในระยะเริ่มต้น อาจจะมีคุณูปการหรือประโยชน์ต่อสังคม แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป หากสถาบันหรือขนบธรรมเนียมนั้น ๆ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาละเทศะ สถาบันหรือขนบธรรมเนียมดังกล่าว อาจกลายเป็นอุปสรรคสิ่งขัดขวางต่อการเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้นได้ ความจริงข้อนี้ ประวัติศาสตร์มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เห็นอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น การแบ่งอาชีพกันทำเพื่อทักษะและความชำนาญ (การแบ่งคนออกเป็นวรรณะในสังคมอินเดียโบราณ) การประกอบพิธีทางศาสนา การเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ของชาวกรีกโรมันและชาวอียิปต์โบราณ การยกย่องระบบกษัตริย์ให้เป็นสมมติเทพ การเสกคาถาอาคมและปลุกผีสางเทวดา พฤติกรรมเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสังคมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป พฤติกรรมดังกล่าวกลับเป็นอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ที่กล่าวมานี้ฉันใด พิธีกรรมและวัตรปฏิบัติทางศาสนาจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบได้ฉันนั้น การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์ ในกรณีของพุทธศาสนานั้น การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์ เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง แห่งการอ่อนกำลังของพุทธศาสนา จริงอยู่ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้ง การที่สงฆ์แยกจากสังคมคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตต่างหาก เป็นการรักษาความมีระเบียบ ความบริสุทธิ์ผ่องใส และเป็นการส่งเสริมการศึกษาและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป สงฆ์ได้หลงลืมวัตถุประสงค์เดิมตามคำสอนของพุทธองค์ สงฆ์หันไปหมกมุ่นอยู่กับกิจธุระส่วนตัวเป็นสำคัญ สงฆ์ทอดทิ้งไม่ดูแลการศึกษา และให้การอบรมด้านศีลธรรม และสติปัญญาแก่ประชาชน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้งสงฆ์โดยพุทธานุมัตินั้น สงฆ์ได้บำเพ็ญกรณียกิจ ในฐานะเป็นผู้ให้การศึกษา ฝึกอบรมศีลธรรม และพัฒนาจิตวิญญาณ แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ในกาลเวลาต่อมาอุดมการณ์ด้านนี้ของสงฆ์ได้เลือนลางจางหายไป พุทธศาสนามีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของอินเดีย และของหลายประเทศในทวีปเอเชีย พุทธศาสนาเป็นพลังดลใจในศิลปศาสตร์นานาแขนงทั่วเอเชีย แต่ในประเทศอินเดียเองด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนาได้สูญเสียฐานะความเป็นผู้นำทางศาสนา ไปอย่างน่าเสียดาย สัมฤทธิผลของศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้เป็นบริษัทบริวารของศาสนานั้นด้วย ศาสนาชิน (Jain) ซึ่งมีคำสอนและวัตรปฏิบัติคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาอยู่หลายอย่างหลายประการ มีการจัดตั้งในสังคมฆราวาส (คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักบวช) ด้วยเหตุนี้ ศาสนาชินจึงยังคงดำรงสถานะเป็นศาสนาหนึ่ง ในประเทศอินเดียได้ตราบจนทุกวันนี้ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สังคมฆราวาสกับสังคมนักบวชหาได้แยกกันไม่ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียศาสนาเดียวที่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติทางสังคม พุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเป็นกิจจะลักษณะในเรื่องเกี่ยวกับการเกิด การตาย หรือการแต่งงานของพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาให้เสรีภาพในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ โดยถือว่าเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดียก็คือ มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิก ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากคนสำคัญแห่งนครสาวัตถี ได้ยกธิดาคนหัวปีชื่อมหาสุภัททา ให้แก่คหบดีแห่งเมืองอุคคนครผู้นับถือศาสนาชิน (ในภาษาบาลีมีชื่อว่า นิคัณฐนาถปุตตะ) ความมีใจกว้างหรือการให้เสรีภาพแก่ศาสนิกเช่นนี้ ในทัศนะของปราชญ์บางท่าน (เช่น นายนลินากฺษ ทัตต) เห็นว่า แม้ในระยะเริ่มแรกแห่งการก่อตั้งและเผยแผ่จะเป็นผลดีแก่พุทธศาสนา แต่ในกาลไกลแล้วเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เพราะทำให้วัตรปฏิบัติของศาสนิกหย่อนยาน เปิดโอกาสให้ผู้มีทัศนะและความเชื่อถือแปลกแยกเข้าไปปะปนและบ่อนทำลายเอกภาพ การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมของพุทธศาสนา การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม ของพุทธศาสนา ในระยะเริ่มแรกนั้น เป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนา เจริญแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความพอใจที่พุทธศาสนาให้เสรีภาพ ไม่แทรกแซงเปลี่ยนแปลงหรือเลิกล้มจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม พระพุทธองค์เป็นปัญญาชน เป็นนักคิด พระองค์มาจากราชตระกูลที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณี ตลอดจนความเชื่อถือตามระบบของสังคมอันมีพราหมณ์เป็นผู้นำมาแต่โบราณกาล ในฐานะที่เป็นปัญญาชน นักคิด พระองค์ทรงสะท้อนพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็น "นิมิต ๔" มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงโทมนัสถึงกับตัดสินพระทัยออกบรรพชา ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาวิธีที่คนเราจะได้พบอิสระจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยเหตุนี้แม้เมื่อทรงบรรพชาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงข้องเกี่ยวกับความเชื่อถือหรือจารีตประเพณีของสังคม พระองค์ทรงปล่อยให้ความเชื่อถือหรือวัตรปฏิบัตรเหล่านี้เป็นไปตามสภาพเดิม พระองค์ทรงมุ่งมั่นอยู่กับการค้นหา "สัจธรรม" ที่ทำอย่างไรคนเราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ในคำสอนของพระองค์ที่มีปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้เวไนยยนิกรเสียเวลาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์หรือคาดคะเนในเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน) เช่น ความเห็นที่ยึดเอาที่สุด ๑๐ ประการ (อันตคาหิกทิฏฐิ) ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย เป็นต้น นายนลินากฺษ ทัตต ปราชญ์ชาวอินเดียผู้รจนาตำราหลายเล่มเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย ได้เขียนแสดงความเห็นไว้ว่า การวางตนไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในอินเดียในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระพุทธองค์และสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณของพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นผลดีแก่การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป และเมื่อไม่มีพระพุทธองค์ตลอดจนสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณเป็นผู้นำและให้แสงสว่าง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธีกรรมเก่า ๆ ของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล จึงกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลามิช้ามินานหลังจากพุทธปรินิพพาน และหลังจากอัครสาวกองค์สำคัญ ๆ ผู้เปรื่องปราดได้ล่วงลับไปแล้ว ประชาชนต่างก็เริ่มลืมเลือนสารัตถะแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่างกลับไม่เชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ต่างกลับไปเชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคัดค้านและต้องการเปลี่ยนแปลงตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กล่าวโดยย่อก็คือ แก่นแห่งศาสนาพุทธ ได้ถูกกระพี้แห่งศาสนาพราหมณ์ ปกปิด หรือบดบังไว้ อย่างแทบจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะจากสามัญชนคนธรรมดา พฤติการณ์ทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาได้แผ่ไปถึง เช่นในประเทศจีน ทิเบต เนปาล พม่า สยาม ลังกา ญี่ปุ่น ตลอดจนเกาหลี มองโกเลีย และอินโดนีเซีย ในทุกประเทศที่ได้กล่าวนามมานี้ เป็นความจริงที่พุทธศาสนาได้เข้าไปประดิษฐานอยู่เป็นเวลาช้านาน ทั้งได้รับความเทิดทูนสักการะอย่างสูงจากประชาชน แต่ในขณะเดียวกันอิทธิพลของวัฒนธรรม ตลอดจนลัทธิความเชื่อถือ เดิมของท้องถิ่นก็ได้เข้าไปผสมผสานปนเปกับ คำสอนอันแท้จริงของพุทธศาสนา อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก กล่าวโดยย่อก็คือ "ปรมัตถธรรม" ที่พระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ได้เลือนลางจางหายจนแทบจะสูญความหมาย ในอินเดีย โดยเฉพาะแล้ว ภายในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีหลังจากพุทธศาสนา แม้ในถิ่นที่พุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดมาแล้ว เช่นในรัฐพิหาร อุตรประเทศ และเบงกอล ก็ตาม ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของสงฆ์ สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมอิทธิพลน่าจะได้แก่ ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของบุคคลที่เข้ามาเป็นสมาชิกในคณะภิกษุสงฆ์ ตราบใดที่คณะสงฆ์มีสมาชิกที่ทรงความรู้ความสามารถ เป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ปวงชน ตราบนั้นพุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะสูงส่ง มีราชามหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนคนธรรมดาประกาศตน เป็นสมาชิกมากมาย แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไม่นานก็ปรากฏตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ได้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นทั้งในทางระดับภูมิปัญญา และในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ จนต้องมีการสังคายนากันเป็นระยะ ๆ ตลอดมา ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที (ศาสตรารฺถ) กันในเรื่องของศาสนาที่เป็นสาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลของความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้พิชิต" ปราชญ์ฝ่ายพุทธ การปรากฏของลัทธิตันตระ ลัทธิตันตระเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อมาของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งได้กล่าวถึงมาบ้างแล้วในตอนต้น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก มีอาทิในประเทศอินเดีย อียิปต์ ประเทศจีนยุคกลาง ในตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐอเมริกา (ล่าสุดในญี่ปุ่น ได้แก่กรณีโอมชินริเกียว - Aum Shinrikyo ซึ่งได้สร้างความหายนะทั้งในชีวิตและทรัพย์สินแก่ชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาล) ชี้ให้เราเห็นว่า ความเชื่อลัทธิทางศาสนานั้น มีอิทธิพลอย่างมากมายต่อพฤติกรรมในชีวิตของมนุษย์ พิธีกรรมหรือวัตรปฏิบัติ อันเกิดจากความเชื่อทางศาสนามากมายหลายกรณี ซึ่งแรกเริ่มเดิมที เกิดจากเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์อันดีงาม เป็นบุญกุศล แต่พอกาลเวลาล่วงเลยไป กิเลสของคนกลับแปรเปลี่ยนให้พิธีกรรมหรือ วัตรปฏิบัติเหล่านั้น หันเหไปในทางที่เลวทรามต่ำช้าสุดที่จะพรรณา อุปมาที่กล่าวมานี้ฉันใด อุปไมยก็ได้แก่ลัทธิตันตระ อันเป็น วิวัฒนาการขั้นต่อมาในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อาจกล่าวได้ว่า ตันตระเป็นลัทธิความเชื่อและวัตรปฏิบัติที่นำ พุทธศาสนาไปสู่ความหายนะขั้นสุดท้ายในประเทศอินเดีย ตันตระประกอบด้วยคำสอนหลัก ๕ ประการ ที่มีชื่อว่า "๕ ม" มี (๑) มัทยะ - เหล้า (๒) มางสะ - เนื้อ (๓) มัตสยะ - ปลา (๔) มุทรา - ท่าทาง (๕) ไมถุน - การเสพสังวาส ผู้ที่เชื่อในหลักคำสอนของตันตระจะต้องใช้ "๕ ม" นี้ประกอบ การบูชากราบไหว้ เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการที่จะเข้าใจว่าตันตระคือ อะไร และทำไมพุทธศาสนาในอินเดียจึงถึงซึ่งกาลอวสานด้วยตันตระ สมองของมนุษย์นั้นว่ากันว่าเป็นเลิศประเสริฐสุดในบรรดาสัตว์ ทุกชนิดที่มีให้เห็นในโลก แต่ประวัติศาสตร์ก็มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เราต้องยอมรับและเชื่อว่า ก็สมองของมนุษย์นี่แหละที่ได้สร้างความชั่วช้าสามานย์ ตลอดจนความพินาศวอดวายที่เลวร้ายที่สุดให้แก่มนุษย์ ทุกวันนี้ "ตันตระ" ก็ยังมีให้เห็นทั่ว ๆ ไปในโลก (รวมทั้งในเมืองไทยด้วย) อาจจะมีท่านผู้อ่านอยากจะทราบว่าลัทธิตันตระชั่วร้ายอย่างไร ถึงกับทำให้พุทธศาสนาปลาสนาการไปจากอินเดียอันเป็นดินแดนถิ่นที่เกิด ผู้เขียนก็ขอตอบโดยสังเขปที่สุดว่า ตันตระนั้นหรือคือลัทธิที่สอนให้คนเชื่อในเวทย์มนต์คาถาอาคม การทรงเจ้าเข้าผี ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในไสยศาสตร์ ไสยเวท อันมีกำเนิดจากคัมภีร์อาถรรพเวทของพราหมณ์ และอยู่นอกเหนือวิสัย ของปุถุชนคนธรรมดา อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๘ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ชาวอินเดียทั้งประเทศซึ่งเดิมเคยนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ต่างก็ตกอยู่ในความครอบงำของลัทธิตันตระอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น หากชนชั้นสูงรวมทั้งชนชั้นผู้ปกครองด้วยก็เช่นเดียวกัน ชาวพุทธถูกรุกรานประหัตประหาร อิสลามในฐานะเป็นกำลังสำคัญทั้งในทางการเมืองและการศาสนา ได้แผ่เข้าไปในอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนต้น ของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ และภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองดินแดนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของอินเดียไว้แทบจะทั้งหมด และครองอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา การที่อิสลามเข้าไปมีอำนาจทางอาณาจักรและศาสนจักรในอินเดียเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามแผ่กระจาย และคลุมครอบชีวิตของชาวอินเดียอย่างลุ่มลึกและกว้างไกล ซึ่งอิทธิพลนี้ยังมีให้เห็นตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะในอินเดียภาคเหนือ ในส่วนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น อาจกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอิสลามเป็นมรสุมลูกสุดท้ายที่กระหน่ำให้ "พุทธนาวา" ลำนี้ก็อยู่ในสภาพ "ชำรุด" เต็มประดา ด้วยท้องนาวาถูกแมงกระพรุนตันตระกัดกิน เป็นรูรั่วน้ำไหลเข้าได้ จวนเจียนจะพลิกคว่ำอยู่แล้ว แต่ "มรสุม" ลูกสุดท้ายที่ทำให้พุทธศาสนาต้องพังพินาศไปจากแผ่นดินอินเดียนั้น แน่นอน คือ "อิสลาม" ผู้เขียนขอจบบทความนี้ด้วยการยืมเอาคำพรรณนาของ พระภิกษุ ดร.อานันท์ เกาศัลยายน พระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ภาษาฮินดีให้แก่ผู้เขียนตั้งแต่ชั้น ก ข ค ซึ่งปรากฏในบทเขียนของท่านชื่อ "How India Lost Buddhism?" มาเสนอท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้ "ในขณะที่ความเสื่อมทางศีลธรรมและจิตใจกำลังมาสู่ประชาชาติอินเดียดังได้พรรณามานี้ การแบ่งแยกถือชั้นวรรณะตามศาสนาพราหมณ์ก็กระหน่ำทำให้ชีวิตสังคมอ่อนเปลี้ยลงอย่างที่สุด และในขณะที่ความ "เร้นลับ" ของลัทธิ "ตันตระ" กำลังทำให้สมองของประชาชนหมดสมรรถภาพอยู่นั้น กองทัพอันเกรียงไกรของมุสลิมก็เคลื่อนขบวนมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คล้ายกับมรสุมใหญ่ที่กำลังพัดมาเพื่อทำความสะอาดให้แก่สิ่งโสโครกทั้งหลาย บรรดาโบสถ์วิหารและทรัพย์สมบัติเครื่องบูชาอันมีค่ายวดยิ่ง ซึ่งสะสมกันไว้ตั้งร้อย ๆ ปี ได้ถูกทำลายพินาศลงด้วยน้ำมือของพวกรุกรานมุสลิม ปฏิมาของพระโพธิสัตว์และเทพยดา ทั้งหญิงชาย ได้ถูกเหวี่ยงลงจากแท่นบูชาและเผาผลาญไม่มีเหลือ ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักรบมุสลิมผู้กระหายอำนาจและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ "มนตร์" และพิธีกรรมต่าง ๆ ทางลัทธิ "ตันตระ" ที่เชื่อกันว่า "ขลัง" ยิ่งนักนั้นปรากฏว่าไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ บรรดา "ผู้สำเร็จ" และ "อาจารย์" องค์สำคัญ ๆ ต่างพากันยืนมือเท้างอต่อหน้ากองทัพมุสลิม ในที่สุดขณะที่พวก "ตันตระ" กำลังประกอบพิธีกรรมและสวด "มนตร์" อยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา แผ่นดินทางอินเดียภาคเหนือก็ตกไปอยู่ในกำมือของมุสลิมอย่างราบคาบ" พระลามา "ตารานาถ" ได้บันทึกไว้ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา" ของท่านว่า "บรรดาภิกษุสงฆ์เมื่อถูกฆ่าและถูกทำร้ายโดยพวกมุสลิมในศตวรรษที่ ๑๒ ต่างก็พากันหนีไปยังประเทศทิเบต และประเทศอื่น ๆ นอกอินเดีย เมื่อภิกษุสงฆ์ไม่มีเหลืออยู่ ทั้งโบสถ์วิหารก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น จิตใจของพวกฆราวาสพุทธมามกะ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ ผลก็คือ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ได้สวามิภักดิ์ต่อพราหมณ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทางเลือดเนื้อและวัฒนธรรมอยู่แล้ว พวกที่เหลืออยู่ก็หันไปนับถือหรือถูกบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองอยู่ในเวลานั้น ด้วยประการฉะนี้เองที่พระพุทธศาสนาได้สูญหายไปจากอินเดีย ดินแดนที่เกิดของตน".

โรงเรียนหนองไผ่
700 หมู่ 6 ต.หนองไผ่
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
ผู้จัดทำ
1.เด็กชายรชานนท์ พิทักษ์ชัยโสภณ เลขที่12
2.เด็กชายนวัช ลานสันทัด เลขที่15
3.เด็กชายภานุภัทร์ วงษ์วัติ เลขที่18
4.เด็กหญิงปนัดดา เขียนกัน เลขที่26
5.เด็กหญิงกมลชนก นวลปอน เลขที่27
6.เด็กหญิงกฤษฎาพร ภูครองหิน เลขที่29
7.เด็กหญิงปองขวัญ จันทร์แจ้ง เลขที่34
8.เด็กหญิงชญาณ๊ งามดี เลขที่36
9.เด็กหญิงธิดารัตน์ เพียสุริวงศ์ เลขที่37
10.เด็กหญิงเพชร ป้อมทอง เลขที่43